วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข้อสอบเด็กอนุบาล

ขอบคุณ พี่ใหญที่ส่งมา share ในกลุ่มค่ะ
ข้อสอบเด็กอนุบาล
Kindergarden Test

Which way is the bus below travelling?
คุณคิดว่ารถกำลังไปทางไหน
To the left or to the right?
ไปทางซ้ายหรือทางขวา

Can't make up your mind?
ตอบไม่ได้ใช่ใหม

Look carefully at the picture again.
ลองดูรูปให้ดีอีกครั้งสิ

Still don't know?
ก็ยังไม่รู้ใช่ใหม

Primary school children all over the UK were shown this picture and asked the same question.
เด็กอนุบาลที่ UK ได้ดูรูปนี้และถูกตั้งคำถามเดียวกัน

90% of them gave this answer:
90% ของเด็กที่ดูรูปสามารถตอบคำถามนี้ได้ว่า

'The bus is travelling to the right.'
'รถกำลังไปทางขวา

'When asked, 'Why do you think the bus is travelling to the right?''
ทำไมถึงคิดว่ารถไปทางขวาล่ะ'

They answered:
เด็กๆ ตอบว่า

'Because you can't see the door to get on the bus.'
'เพราะว่าเราไม่เห็นประตูให้ขึ้้นรถน่ะสิ'

How do you feel now???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง


I know, me too.
ผมรู้ เพราะผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

555555

10 ข้อต้องห้ามของมืออาชีพ

10 ข้อต้องห้ามของมืออาชีพ

  1. ขาดจุดยืน ความมุ่งมั่น ภาพรวม วิสัยทัศน์ ปณิธาน และแนวทางในการทำงาน
  2. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องงานได้เมื่อถึงเวลา และไม่สามารถคิดหาทางออกได้ในสถานการณ์ที่ต้องคิดให้ได้
  3. ทำงานอย่างขอไปที ไม่ตั้งใจและไม่ใส่ใจในการทำงาน
  4. ลองดี ยั่วยุ ท้าทาย หรือกลั่นแกล้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่ติดต่องานด้วย
  5. พูดในเชิงลบถึงผู้อื่นเสมอ ครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูดเป็นการพูดว่าร้ายเจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน
  6. คำนึงถึงความสัมพันธ์และความสนิทสนมส่วนตัวมากกว่าเรื่องการทำงานให้สำเร็จ
  7. ยอมให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล ทั้งในการตัดสินใจและการลงมือทำงาน
  8. ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเองในเรื่องงาน แต่มีคำอ้างหรือข้อแก้ตัว และจะไม่สนใจแก้ไขสิ่งผิดพลาด
  9. มองว่าคนอื่นได้ค่าตอบแทนสูงกว่าตน แต่ไม่ลองคิดดูว่าคนอื่นมีความสามารถเหนือกว่าตนเองอย่างไรบ้าง
  10. สนับสนุนลูกน้อง หรือผู้อ่อนอาวุโสกว่าในทางที่เป็นผลเสียต่อองค์กร

รู้แล้วพึงหลีกเลี่ยง และอย่าไปทำมันเป็นอันขาดเพราะทั้ง 10 ข้อดังกล่าว คือหนทางสู่ความหายนะและความถดถอย

ทีมา Productivity corner

Work Like a PRO

Work Like a PRO


เมื่อเราได้ยินคำว่ามืออาชีพ หลายคนคงนึกถึงคำภาษาอังกฤษที่ว่า Professional หรือ Professionalism บางคนก็นึกถึงคนที่เรียนจบ หรือประกอบอาชีพที่ต้องมีใบประกอบอาชีพเป็นใบรับรองความรู้ความสามารถอะไรทำนองนั้น อาทิ แพทย์ พยาบาล วิศวกร ทนายความ เป็นต้น ซึ่งอาชีพทั้งหลายเหล่านี้ต้องการความเป็นมืออาชีพทั้งสิ้น และความเป็นมืออาชีพนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งและมากเกินกว่าใบประกอบวิชาชีพที่ได้มา ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ได้เห็นข่าวหมอ วิศวกร หรือทนายความที่กระทำผิด และสร้างความเสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่มิชอบ ดังนั้นความเป็นมืออาชีพหรือทำงานอย่างมืออาชีพที่หลายๆคนมักกล่าวอ้างกันนั้นมันหมายถึงอะไร และผู้ที่ทำงานในอาชีพอื่นๆ ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพจะเป็นมืออาชีพได้หรือไม่ เราลองมาพิจารณาคุณสมบัติของคนที่ทำงานแบบมืออาชีพเหล่านี้กัน

  • ไม่ล้ำเส้น ยึดถือบทบาทหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายหรือแย่งชิงงานละความชอบ
  • คิดเองได้ ไม่เพียงแต่ทำตามคำสั่ง แต่ควรคิดและทำเพิ่มเติมกว่านั้น
  • มีความรับผิดชอบ ไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น แม้ว่างานนั้นจะมอบหมายต่อให้คนอื่นทำ
  • รู้จักตัดสินใจ เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ ก็ต้องทำตามข้อมูลความจริงเท่าที่มีอยู่
  • ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยาม หรือทำตัวให้ผู้อื่นต้องเสียหน้า
  • รักษาเกียรติในยามแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ได้ ไม่มีใครที่แพ้ตลอดเวลา
  • ยอมรับการเปลี่ยนแปลง นับวันความเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้น หาทางรับมือดีกว่า
  • ความผิดพลาดและการขอโทษ เมื่อกระทำผิดไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการขอโทษ
  • มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือความคิดเดิมๆ ต้องปรับตามเงื่อนไข
  • ไม่น่ารักก็ไม่เป็นไร ถ้าสิ่งนั้นทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
  • มนุษยธรรมกับธุรกิจ ไม่เบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้อื่น
  • ศักยภาพสูงสุดของตนเอง ไม่ทำแต่เรื่องง่ายเพราะอยากสบาย
ลองสำรวจตรวจสอบดูว่าเราทำได้สักกี่ข้อ ถ้าเรายังทำได้น้อยแสดงว่าเรามีโอกาสได้ปรับปรุงมาก แต่ถ้าทำได้มากก็แสดงว่าเรามีการพัฒนาตนเองมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเราสามารถเพิ่มเติมข้ออื่นๆ ทีสำคัญและจำเป็นสำหรับอาชีพการงานของเราได้ตามความเหมาะสม

ที่มา: Productivity Corner


วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปริญญาสองใบ

ขอบคุณ กิ๊บ ที่ ส่ง e-mail มาให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มค่ะ

ปริญญาสองใบ ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมากคือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก

เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร มาเรียนที่อเมริกา

เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิสทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด

แม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดูว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด

เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน

แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สอง

แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สามใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย

แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจมีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง

วันหนึ่งแกพักผ่อนหลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลยลูกเมียไปขอพบ

บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต

วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุบลงไป

ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็งพอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย

จริงๆ เค้าก็เตือนตลอดแต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน

บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว

แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่

กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า

พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง 'ปริญญาวิชาชีพ'

เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น

พูดง่าย ๆล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง

แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

แต่'ปริญญาวิชาชีวิต' ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้

แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง

ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร?

เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง

บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยาแต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา

สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้

สิ่งที่ว่านี้คือ ผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย

เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ธรรมะเราจะต้องมี

ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง

ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้วอย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวัน

แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเองดูจิต ดูใจตัวเองว่าเราเอ๊ะมันทุกข์

มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่าแบกเรื่องโน้นเรื่องนี้

เกินไปหรือเปล่า พยายามลดลงในแต่ละวันๆเพื่อที่ว่าอะไร

เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิตหนึ่งปริญญาวิชาชีพ

เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งมีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่

แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สองคือวิชาธรรมะ

สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี

พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก

อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง

อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุดและมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี

เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด

บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง

บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต

สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อย.

(ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา ของท่าน ว.วชิรเมธี

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

S E R V I C E ใช้ใจให้บริการ

S= Smile ยิ้มแย้มแจ่มใสในทุกเหตุการณ์
E= Enthusiasm กระตือรือร้น พร้อมรับทุกคำสั่ง น้อมนำทุกคสามคิดเห็น
R=Rapidness กระฉับกระเฉง รวดเร็วฉับไว ไม่เยิ่นเย้อยืดยาด
V=Value มีคุณค่า ในทุกจุดของการสัมผัสนอกเหนือจากสินค้าที่ได้รับ
I=Impression สร้างความประทับใจที่ลึกล้ำ สร้างความจดจำในทุกเหตุการณ์ (ที่ดี)
C=Courtesy สุภาพอ่อนโยน ทั้งกาย วาจา ใจ ทุกท่วงท่าลีลาและทุกการแสดงออก
E=Endurance อดทน อดกลั้น จำไว้เสมอว่าลูกค้าไม่ใช่คนที่เราจะมาถกเถียงเพื่อให้ได้ชัยชนะ

ที่มา: Productivity Corner ปี่ที่ 9 ฉ. 101 สค 51 column Light UP โดย chamluck@ftpi.or.th