วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข้อสอบเด็กอนุบาล

ขอบคุณ พี่ใหญที่ส่งมา share ในกลุ่มค่ะ
ข้อสอบเด็กอนุบาล
Kindergarden Test

Which way is the bus below travelling?
คุณคิดว่ารถกำลังไปทางไหน
To the left or to the right?
ไปทางซ้ายหรือทางขวา

Can't make up your mind?
ตอบไม่ได้ใช่ใหม

Look carefully at the picture again.
ลองดูรูปให้ดีอีกครั้งสิ

Still don't know?
ก็ยังไม่รู้ใช่ใหม

Primary school children all over the UK were shown this picture and asked the same question.
เด็กอนุบาลที่ UK ได้ดูรูปนี้และถูกตั้งคำถามเดียวกัน

90% of them gave this answer:
90% ของเด็กที่ดูรูปสามารถตอบคำถามนี้ได้ว่า

'The bus is travelling to the right.'
'รถกำลังไปทางขวา

'When asked, 'Why do you think the bus is travelling to the right?''
ทำไมถึงคิดว่ารถไปทางขวาล่ะ'

They answered:
เด็กๆ ตอบว่า

'Because you can't see the door to get on the bus.'
'เพราะว่าเราไม่เห็นประตูให้ขึ้้นรถน่ะสิ'

How do you feel now???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง


I know, me too.
ผมรู้ เพราะผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

555555

10 ข้อต้องห้ามของมืออาชีพ

10 ข้อต้องห้ามของมืออาชีพ

  1. ขาดจุดยืน ความมุ่งมั่น ภาพรวม วิสัยทัศน์ ปณิธาน และแนวทางในการทำงาน
  2. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องงานได้เมื่อถึงเวลา และไม่สามารถคิดหาทางออกได้ในสถานการณ์ที่ต้องคิดให้ได้
  3. ทำงานอย่างขอไปที ไม่ตั้งใจและไม่ใส่ใจในการทำงาน
  4. ลองดี ยั่วยุ ท้าทาย หรือกลั่นแกล้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่ติดต่องานด้วย
  5. พูดในเชิงลบถึงผู้อื่นเสมอ ครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูดเป็นการพูดว่าร้ายเจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน
  6. คำนึงถึงความสัมพันธ์และความสนิทสนมส่วนตัวมากกว่าเรื่องการทำงานให้สำเร็จ
  7. ยอมให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล ทั้งในการตัดสินใจและการลงมือทำงาน
  8. ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเองในเรื่องงาน แต่มีคำอ้างหรือข้อแก้ตัว และจะไม่สนใจแก้ไขสิ่งผิดพลาด
  9. มองว่าคนอื่นได้ค่าตอบแทนสูงกว่าตน แต่ไม่ลองคิดดูว่าคนอื่นมีความสามารถเหนือกว่าตนเองอย่างไรบ้าง
  10. สนับสนุนลูกน้อง หรือผู้อ่อนอาวุโสกว่าในทางที่เป็นผลเสียต่อองค์กร

รู้แล้วพึงหลีกเลี่ยง และอย่าไปทำมันเป็นอันขาดเพราะทั้ง 10 ข้อดังกล่าว คือหนทางสู่ความหายนะและความถดถอย

ทีมา Productivity corner

Work Like a PRO

Work Like a PRO


เมื่อเราได้ยินคำว่ามืออาชีพ หลายคนคงนึกถึงคำภาษาอังกฤษที่ว่า Professional หรือ Professionalism บางคนก็นึกถึงคนที่เรียนจบ หรือประกอบอาชีพที่ต้องมีใบประกอบอาชีพเป็นใบรับรองความรู้ความสามารถอะไรทำนองนั้น อาทิ แพทย์ พยาบาล วิศวกร ทนายความ เป็นต้น ซึ่งอาชีพทั้งหลายเหล่านี้ต้องการความเป็นมืออาชีพทั้งสิ้น และความเป็นมืออาชีพนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งและมากเกินกว่าใบประกอบวิชาชีพที่ได้มา ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ได้เห็นข่าวหมอ วิศวกร หรือทนายความที่กระทำผิด และสร้างความเสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่มิชอบ ดังนั้นความเป็นมืออาชีพหรือทำงานอย่างมืออาชีพที่หลายๆคนมักกล่าวอ้างกันนั้นมันหมายถึงอะไร และผู้ที่ทำงานในอาชีพอื่นๆ ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพจะเป็นมืออาชีพได้หรือไม่ เราลองมาพิจารณาคุณสมบัติของคนที่ทำงานแบบมืออาชีพเหล่านี้กัน

  • ไม่ล้ำเส้น ยึดถือบทบาทหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายหรือแย่งชิงงานละความชอบ
  • คิดเองได้ ไม่เพียงแต่ทำตามคำสั่ง แต่ควรคิดและทำเพิ่มเติมกว่านั้น
  • มีความรับผิดชอบ ไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น แม้ว่างานนั้นจะมอบหมายต่อให้คนอื่นทำ
  • รู้จักตัดสินใจ เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ ก็ต้องทำตามข้อมูลความจริงเท่าที่มีอยู่
  • ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยาม หรือทำตัวให้ผู้อื่นต้องเสียหน้า
  • รักษาเกียรติในยามแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ได้ ไม่มีใครที่แพ้ตลอดเวลา
  • ยอมรับการเปลี่ยนแปลง นับวันความเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้น หาทางรับมือดีกว่า
  • ความผิดพลาดและการขอโทษ เมื่อกระทำผิดไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการขอโทษ
  • มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือความคิดเดิมๆ ต้องปรับตามเงื่อนไข
  • ไม่น่ารักก็ไม่เป็นไร ถ้าสิ่งนั้นทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
  • มนุษยธรรมกับธุรกิจ ไม่เบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้อื่น
  • ศักยภาพสูงสุดของตนเอง ไม่ทำแต่เรื่องง่ายเพราะอยากสบาย
ลองสำรวจตรวจสอบดูว่าเราทำได้สักกี่ข้อ ถ้าเรายังทำได้น้อยแสดงว่าเรามีโอกาสได้ปรับปรุงมาก แต่ถ้าทำได้มากก็แสดงว่าเรามีการพัฒนาตนเองมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเราสามารถเพิ่มเติมข้ออื่นๆ ทีสำคัญและจำเป็นสำหรับอาชีพการงานของเราได้ตามความเหมาะสม

ที่มา: Productivity Corner


วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปริญญาสองใบ

ขอบคุณ กิ๊บ ที่ ส่ง e-mail มาให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มค่ะ

ปริญญาสองใบ ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมากคือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก

เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร มาเรียนที่อเมริกา

เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิสทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด

แม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดูว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด

เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน

แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สอง

แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สามใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย

แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจมีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง

วันหนึ่งแกพักผ่อนหลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลยลูกเมียไปขอพบ

บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต

วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุบลงไป

ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็งพอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย

จริงๆ เค้าก็เตือนตลอดแต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน

บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว

แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่

กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า

พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง 'ปริญญาวิชาชีพ'

เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น

พูดง่าย ๆล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง

แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

แต่'ปริญญาวิชาชีวิต' ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้

แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง

ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร?

เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง

บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยาแต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา

สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้

สิ่งที่ว่านี้คือ ผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย

เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ธรรมะเราจะต้องมี

ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง

ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้วอย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวัน

แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเองดูจิต ดูใจตัวเองว่าเราเอ๊ะมันทุกข์

มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่าแบกเรื่องโน้นเรื่องนี้

เกินไปหรือเปล่า พยายามลดลงในแต่ละวันๆเพื่อที่ว่าอะไร

เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิตหนึ่งปริญญาวิชาชีพ

เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งมีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่

แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สองคือวิชาธรรมะ

สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี

พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก

อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง

อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุดและมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี

เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด

บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง

บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต

สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อย.

(ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา ของท่าน ว.วชิรเมธี

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

S E R V I C E ใช้ใจให้บริการ

S= Smile ยิ้มแย้มแจ่มใสในทุกเหตุการณ์
E= Enthusiasm กระตือรือร้น พร้อมรับทุกคำสั่ง น้อมนำทุกคสามคิดเห็น
R=Rapidness กระฉับกระเฉง รวดเร็วฉับไว ไม่เยิ่นเย้อยืดยาด
V=Value มีคุณค่า ในทุกจุดของการสัมผัสนอกเหนือจากสินค้าที่ได้รับ
I=Impression สร้างความประทับใจที่ลึกล้ำ สร้างความจดจำในทุกเหตุการณ์ (ที่ดี)
C=Courtesy สุภาพอ่อนโยน ทั้งกาย วาจา ใจ ทุกท่วงท่าลีลาและทุกการแสดงออก
E=Endurance อดทน อดกลั้น จำไว้เสมอว่าลูกค้าไม่ใช่คนที่เราจะมาถกเถียงเพื่อให้ได้ชัยชนะ

ที่มา: Productivity Corner ปี่ที่ 9 ฉ. 101 สค 51 column Light UP โดย chamluck@ftpi.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เด็กข้างเตียง กับคำพ่อสอน (เทคนิคการสอนลูกของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์)

ขอบคุณ พี่ปราโมทย์ที่ forward มาให้ค่ะ
เทคนิคการสอนลูกของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือท่านประธานของลูกๆ ที่บอกว่าเมื่อไหร่สวมบทท่านประท่านก็จะดุ ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมตอบอยู่เสมอ ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องทำตัวลีบๆ แล้วไปหาคำตอบมารายงานใหม่
แต่ถ้าเป็นบทบาทคุณพ่อ จะเป็นคุณพ่อใจดีที่คอยสอน และให้คำแนะนำที่ดีเสมอ คุณบีเล่าว่าตอนเด็กๆคุณแม่เป็นคนสอนไม่ให้ดูถูกคน สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่างพี่เลี้ยงเราต้องยกมือไหว้หมดอาละวาดไม่ได้ ตีพี่เลี้ยงไม่ได้ต้องให้เกียรติคน คุณแม่บอกว่าคุณแม่มาจากฐานะยากจนเคยถูกคนอื่นดูถูก จะสอนเราเรื่องพวกนี้
ส่วนคุณพ่อสอนให้เรามองตัวเองตลอด เวลามีความผิดพลาดก่อนที่จะมองคนอื่นให้มองตัวเองก่อน ตั้งแต่ๆมีหลายเรื่องที่คุณพ่อสอนและติดเป็นนิสัย ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ตอนโต
ทุกคืนจะเป็นเด็กข้างเตียง ไปเกาะเตียงคุณพ่อเล่าโน่นเล่านี่ คุณพ่อจะสอนว่า ทุกวันตอนนั่งรถกลับจากโรงเรียนให้คิดว่าวันนี่พูดจาใจร้ายกับใครหรือเปล่า ทำตัวไม่ดีหรือเปล่า ไปทำตัวให้ใครเสียใจหรือเปล่า ก็มาเล่าให้คุณพ่อฟังว่าวันนี้เปิดกระโปรงเพื่อน หรือว่าเถียงคุณครู หรือไปช่วยคุณยายขายขนม ท่านเป็นคนที่ encourage ให้ทำเรื่องดีๆ ท่านก็จะชื่นชมเราไปทำเรื่องดีๆ พอเล่าเสร็จ ท่านจะเอาเรามากอด แล้วบอกว่า ฉลาดที่สุดเลย เก่งที่สุดเลย ทำให้เราที่ตัวเล็กๆ หัวใจคับตัว ทำให้เราคิดแต่จะทำความดี
หรือถ้าไปทำเรื่องไม่ดี ท่านก็จะสอนว่า พอรู้ว่าเป็นความไม่ดี ให้คิดต่อว่าแล้วพรุ่งนี้จะไปแก้ตัวว่าอย่างไร จะปรับปรุงอย่างไร อย่างเช่นเปิดกระโปรงเพื่อน วันพรุ่งนี้ไปขอโทษ เอาขนมไปให้
ตอนแรกๆ ก็เริ่มจากการ analyse ตัวเองทุกวันว่า เราทำอะไรไม่ดี แต่พอเราได้รับคำชมเรื่องดีๆเยอะๆความคิดก็เริ่มคิดที่จะทำความดีๆ ไปโรงเรียนก็พกดินสอไปเยอะๆ เผื่อใครลืมดินสอก็เอาไปให้เขา
นิสัยจากที่ถูกสอนให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองทุกวัน เวลาเราตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจเรื่องนี้ขาดทุนยับเยิน หรือบางทีใช้อารมณ์กับลูกน้อง กลุ้มใจ พอคิดถึงสิ่งที่เราถูกฝึกมา ก็จะเตือนตัวเองว่าอย่ากลุ้มใจนาน เอาคืนไม่ได้แล้ว คิดต่อว่าพรุ่งนี้จะไปแก้ปัญหาอย่างไร
การวิเคราะห์ตัวเองทุกวันให้อยู่กับความเป็นจริงเป็นนิสัยที่เป็นประโยชน์มากๆ
อีกเรื่องที่คุณพ่อสอนคือ สอนให้เห็นข้อดีของคน วันหนึ่งมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาหาคุณพ่อ ตอนเด็กเราจะรู้สึกว่า เพื่อนคนนี้ไม่ดีเราไม่คบ และผู้ใหญ่คนนี้มีพฤติกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบ แต่เราเดินผ่านคุณพ่อเห็นจะเรียกเรามาสวัสดี และจะชื่นชมเขาให้ฟังต่อหน้าเขา วันหนึ่งกล้ามากถามคุณพ่อว่าคนนี้ไม่เห็นดีเลย ทำไมคุณพ่อไปชมเขา แกล้งชมหรือเปล่า เหมือนไม่จริงใจหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นไปเรียนหนังสือที่อเมริกาแล้ว (ไปเรียนที่อเมริกาตอนอายุ 14 ปี)
ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าคนเราทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี ท่านถามว่าสมมติเพื่อนชอบนินทา ถามว่าบีจะคบไหม บีฟันธงว่าไม่คบ ท่านถามต่อว่าเพื่อนคนเดียวกันนี้เป็นคนใจอ่อน เห็นใครไม่สบาย ใครมีปัญหาไปช่วยเสมอ ถามว่าบีจะคบไหมก็เริ่มลังเล แต่ก็ยืนยันว่าไม่คบ ท่านก็สอนว่า ต้องคบคนในเรื่องที่เขาดี ต้องรู้จักชื่นชมในสิ่งที่เขาดี ในเมื่อเขามีน้ำใจช่วยเหลือทุกคนเราต้องเห็นความดีตรงนี้ของเขา ขณะที่เรื่องไม่ดีของเขา ชอบนินทา ก็ต้องรู้จักคบเขา เรื่องอะไรที่ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องให้เขาฟัง หากเราไปเล่าให้ฟัง ถ้าเขาไปเล่าต่อก็ต้องเขกหัวตัวเอง
ท่านก็ยกตัวอย่างอีกว่าสมมติมีผู้ชายคนหนึ่ง เป็นขโมย บีก็บอกว่าไม่ดีแน่นอน และผู้ชายคนเดียวกันนี้กตัญญูมากๆ มีแม่ไม่สบาย ดูแลแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำ เงินที่ได้มาก็รักษาแม่ ถามว่าเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า อันนี้เริ่มลังเล ท่านบอกว่าในมนุษย์ทุกคนมีทั้งข้อดีและไม่ดี เราต้องสามารถมองเห็นข้อดีของคน ข้อไม่ดีของคน
ท่านบอกว่าท่านชมคนท่านชมจากใจจริงหากเราไม่จริงใจกับคน ชมเขา 3 ครั้งเขาก็รู้ เพราะมนุษย์มี sense เพราะฉะนั้น เราต้องชมในเรื่องที่เป็นจริง ท่านสอนว่ามนุษย์รู้ว่าตัวเองเก่ง ไม่เก่ง หรือถนัด ไม่ถนัดเรื่องอะไร เขาจะ sense ได้ เพราะ ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าข้อดีของเขาคืออะไรต้องหาให้ได้ และหากจะชมเขา เราต้องชื่นชมเขาอย่างจริงใจ
ท่านสอนว่าเรื่องความไม่ดีของคนอย่าไปพูด ความดีเหมือนผ้าขาว ดูง่าย แต่ความไม่ดีเหมือนสีดำ และถ้าเราไม่รู้จริง และไปว่าคน เท่าเป็นการทำร้ายเขา คือความไม่ดี ไม่ต้องพูด ให้รู้เพื่อระวัง และสอนไม่ให้อคติ คือท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความมีดี อย่าไปกรธ อย่าไปอคติ แต่เราทำดีเป็นหลัก
ตอนไปเรียนที่อเมริกา ถูกฝรั่งแกล้ง เป็นเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เขาดูถูกเราตลอด เป็นนักเรียนคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถูกแกล้ง เอาหนังสือไปทิ้งบ้าง เดี๋ยวถูกขโมยกล่องดินสอบ้าง เดินชนบ้าง และผู้หญิงคนนี้ชอบทำหน้ารังเกียจเราบางทีก็มาด่าเราด้วย และเราไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มาก
แต่ด้วยที่ศรัทธาคุณพ่อมาก ตอนแรกๆไม่ได้เชื่อคำสอน 100% แต่คิดว่าถ้าทุกคนมีความดี ผู้หญิงคนนี้มีความดีอะไร ก็เริ่มทำตัวเหมือนนักสืบอยู่หลายเดิน สะกดรอย พยายามหาข้อดีของเขา สังเกตว่าเขาไปทำอะไร เขามีข้อไม่ดี เช่นจีบผู้ชายหลายคน ชอบโดดเรียน แต่เราบังคับตัวเองว่าต้องหาข้อดีให้เจอ คิดว่าจะต้องไปรายงานคุณพ่อ สิ่งสุดท้ายที่เห็น ผู้หญิงคนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนอื่น เป็นคนที่อ่อนแอมากๆ และผู้หญิงคนนี้รักเพื่อนมากๆ ต่อให้เรียนอยู่ก็โดดเรียน เดตกับผู้ชายอยู่ก็มาดูแลเพื่อนคนนี้ ทำให้เห็นข้อดีของเขา ถ้าหากเราโดดเรียนมาปลอบเพื่อน ถามตัวเองทำได้หรือเปล่าแต่สิ่งที่เขาทำให้เพื่อนเขา เราก็ชื่นชมเขา พอเริ่มเห็นข้อดีของเขาเราก็เริ่มๆ เปลี่ยนมุมมอง ไม่เกลียดเขา เราก็ไม่เป็นทุกข์
หลังจากนั้นฝึกตัวเอง เชื่อว่าทุกอย่างฝึกได้หมด พอไม่ชอบขี้หน้าใคร ก็ต้องหาข้อดีให้เจอ ทำมาจนอายุ 24 ปี ประมาณ 10ปีเต็ม ทำแบบไม่รู้ตัว จนมีวันหนึ่งเมื่อเรียนจบ นั่งคุยกับเพื่อน เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง มีเพื่อน 2 คนเขาบอกว่าไม่จริง บอกว่าทุกคนจะต้องมีข้อดี เขาเริ่มโยนชื่อเพื่อนสมัยเรียนขึ้นมา เราก็สามารถตอบข้อดีได้หมดวันนั้นทำให้คิดว่าเรื่องนี้มีอยู่ในเราแล้ว 10 ปีที่ฝึกอย่างจริงจัง มันเห็นผล มันเป็นการชำระใจ บีดูแลใจตัวเองมากๆเลย พยายามไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร พยายามไม่ให้ทุกข์ข้ามคืน ทบทวนทุกวันว่าทำอะไร
คุณพ่อสอนว่าเวลาคนมาว่าเรา มาด่าเรา จะไปโกรธเขาทำไม เพราะเวลาคนมาว่าเรา จะไปโกรธเขาทำไม
เพราะเวลาคนมาว่าเรา มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ
1. เขาคงเข้าใจผิดเขาจึงมาโกรธเรา ถ้าเข้าใจผิดเราก็หาทางไปชี้แจง จะไปโกรธตอบทำไม
2. เราต้องไปทำอะไรเขาจริงๆ ซึ่งเราอาจจะทำโดยไม่ตั้งใจ ท่านบอกว่าไปขอโทษเขาเสีย มานั่งโกรธเขาไม่ถูก

มีช่วงหนึ่งที่มีข่าวว่าท่านเยอะ ช่วงที่ทำโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย เคยถามท่านว่าทำไมถึงมีคนว่ามากขนาดนี้ ตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เพื่อนเอาหนังสือพิมพ์มาให้ดู เขียนด่าครอบครัว สาปแช่งว่าโกงกินประเทศชาติ ตอนนั้นเรียนจบ นัดกับเพื่อนว่าก่อนจะจบจะไปเที่ยวกัน ก็มีเพื่อนของเพื่อนอีกที ไม่รู้จักกัน เขาบอกว่าถ้าทริปนี้มีบีด้วยเขาไม่มาเขาไม่คบกับตระกูลนี้ที่โกงกินประเทศชาติ มันแย่มาก วันหนึ่งก็มาถามคุณพ่อว่าทำไมเขามาว่าเราขนาดนี้ คุณพ่อไม่พูดอะไรที่เป็นลบ ท่านบอกว่าเขาเข้าใจผิด เขาพยายามทำหน้าที่ของเขา คือรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ และหลังจากนั้นเวลาที่บีอยู่ในกลุ่ม ซี.พี. หากมีใครว่าอะไรก็จะบอกว่าคุณพ่อบอกว่าอย่างนี้ ไม่ต้องไปโกรธเขา ไม่ต้องไปว่าเขา คุณพ่อเป็น role model สิ่งที่อยากเหมือนคุณพ่อคืออยากทำงานได้เยอะ ช่วยเหลือคนได้เยอะ และมีความสุข คุณพ่อเป็นคนที่ไม่ทุกข์ งานหนักแค่ไหนไม่มีเรื่องเนกาทีฟไม่มีระบายอารมณ์ที่บ้าน ไม่เก็บความทุกข์มาใส่ใจ

เรื่องของวาสนา กับความรักที่พลัดพราก

ขอบคุณพี่ปราโมทย์ ที่ forward มาให้อ่านนะค่ะ

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย
ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า
คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ
เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น
มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!
เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว
ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน
เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว
เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด
คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ
ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน
รั้งยังไงก็ไม่อยู่ ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไ
ม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า
เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ชอบเพลงนี้มาก ๆ เป็นเพลงที่ได้ยินตอนรอเพื่อนในกลุ่มรับโทรศัพท์ เลยอยากแบ่งปันนะค่ะให้เพื่อน NEC ทุก ๆ คนค่ะ
คลิ๊กที่นี่ค่ะ -->http://planet.kapook.com/somtamthai/blog/view/68142
เนื้อเพลง : ขอบคุณที่ยังรักกัน
ศิลปิน : หลวงไก่
"อยากขอบคุณอีกสักครั้ง ที่เธอยังไม่ทอดทิ้งกัน
ที่เธอนั้นยืนข้างฉัน ในวันที่ไม่มีใคร
ในวันที่ฉันล้มลง ในวันที่ฉันร้องไห้
วันที่ต้องเหงาเดียวดาย เธออยู่ข้างกายเสมอ
ขอบคุณฟ้าและสวรรค์ ที่ให้เราได้มารักกัน
แต่งเติมชีวิตของฉัน เติมฝันให้เต็มหัวใจ
ขอบคุณที่เธอรักกัน ขอบคุณที่เธอมั่นใจ
ด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายให้เธอมั่นใจได้เลย"
**ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ **
อยากขอบคุณอีก พันครั้ง
ฉันว่ามันคงยังน้อยไป
ในตอนนี้ไม่มีคำใด จะอธิบายใจฉัน
ตอนนี้พูดได้คำเดียว ขอบคุณที่เธอรักกัน
แต่นี้และทุก ทุกวัน ฉันจะรักเธอคนเดียว
( ซ้ำ **,** )
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

น้ำตาซึมเลย KOREAN REAL STORY

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อ
เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาดฉันกลัวมาก
ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ
"พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น
น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
....แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้น
ได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก
พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน"
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อยกลางดึกคืนนั้น
ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขา
ได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้
ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า"
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ
แล้วพูดว่า" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ
อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้
"แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้.......วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไป
พร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อย
เพื่อประทังความหิวก่อนไป
เขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ
"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ
....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่
"ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
.......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี
.....ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมา
จากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ
.......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...ฉันถามเขาว่า"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ
"น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี
"ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ"
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่
ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า
"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึง
น้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป
ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป
ฉันพูดกับแม่ว่า"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้าน
กับซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก
...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็ว
เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจ
เมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
"เจ็บมากไหม"ฉันถาม
"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ
วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ...
"น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค
แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี
...หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉัน
ชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า
ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่
จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
...เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉัน
เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดูตัวเองซิ
...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว
ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง
"คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
.....ฉันบอกกับน้องว่า"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...
""ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี.
..เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกันในงานแต่งงาน
ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
"พี่สาวของผมครับ"
.....และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
.......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม
ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ
"เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด
คือน้องชายของฉันค่ะ"
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง
...จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน
ในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคน
เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
จบบริบูรณ์....
ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได
และในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า"ซัมซุง"
และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์
โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับบู มิง ฮอง เล่าเรื่อง
จาก: e-mail ของพี่โมทย์ที่ส่งให้เพื่อนในกลุ่ม

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ อุดม แต้พานิช

  1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
  2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะ ช้าไป 1 จังหวะเสมอ
  3. ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า
  4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว
  5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
  6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
  7. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจ ซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
  8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ
  9. ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ
  10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
  11. หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู
  12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ
  13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก
  14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ
  15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ
  16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป
  17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี
  18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา
  19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน
  20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป
  21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป
  22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย
  23. ปูอัด มันทำจากปลา
  24. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
  25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ
  26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา
  27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร
  28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
  29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ
  30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
  31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
  32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ
  33. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
  34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน.
  35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
  36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
  37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่เพื่อนฉัน" หมายความว่า "แฟนฉัน"
  38. ถ้ ามีการแนะนำตัวว่า "นี่แฟนฉัน" หมายความว่า "ผัว/เมียฉัน "

จาก: e-mail ของพี่โมทย์ที่ส่งให้เพื่อนในกลุ่ม