วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ดีกว่าไม่มีใคร.. & ..ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เอา

1. มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซกซ์และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซกซ์และลบเอาเหตุผลออกไป

2. การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็นเรื่องของอะไรบางอย่าง ส่วนการได้รักและถูกรักเป็นทุกสิ่งอย่าง

3. คุณอาจจะเป็นแค่ “คนๆ หนึ่ง” ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น “โลกทั้งใบ” ของคนๆ หนึ่งก็ได้

4. คุณรู้ว่าคุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายถึง การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

5. ความรักนั้นเห็นไม่ได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ

6. จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ”อยู่ด้วยได้” จงแต่งงานกับคนที่คุณ”ขาดไม่ได้”





เมื่อใดที่คุณเจอคนๆนั้นแล้ว จงดูแลให้ดีที่สุดนะ อย่าปล่อยให้เวลาผ่าน ไป จนสายเกินกว่าที่จะเรียกมันกลับมา

เพราะสายน้ำไม่ไหลกลับ.....

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข้อสอบเด็กอนุบาล

ขอบคุณ พี่ใหญที่ส่งมา share ในกลุ่มค่ะ
ข้อสอบเด็กอนุบาล
Kindergarden Test

Which way is the bus below travelling?
คุณคิดว่ารถกำลังไปทางไหน
To the left or to the right?
ไปทางซ้ายหรือทางขวา

Can't make up your mind?
ตอบไม่ได้ใช่ใหม

Look carefully at the picture again.
ลองดูรูปให้ดีอีกครั้งสิ

Still don't know?
ก็ยังไม่รู้ใช่ใหม

Primary school children all over the UK were shown this picture and asked the same question.
เด็กอนุบาลที่ UK ได้ดูรูปนี้และถูกตั้งคำถามเดียวกัน

90% of them gave this answer:
90% ของเด็กที่ดูรูปสามารถตอบคำถามนี้ได้ว่า

'The bus is travelling to the right.'
'รถกำลังไปทางขวา

'When asked, 'Why do you think the bus is travelling to the right?''
ทำไมถึงคิดว่ารถไปทางขวาล่ะ'

They answered:
เด็กๆ ตอบว่า

'Because you can't see the door to get on the bus.'
'เพราะว่าเราไม่เห็นประตูให้ขึ้้นรถน่ะสิ'

How do you feel now???
ตอนนี้คุณรู้สึกยังไง


I know, me too.
ผมรู้ เพราะผมก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

555555

10 ข้อต้องห้ามของมืออาชีพ

10 ข้อต้องห้ามของมืออาชีพ

  1. ขาดจุดยืน ความมุ่งมั่น ภาพรวม วิสัยทัศน์ ปณิธาน และแนวทางในการทำงาน
  2. ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องงานได้เมื่อถึงเวลา และไม่สามารถคิดหาทางออกได้ในสถานการณ์ที่ต้องคิดให้ได้
  3. ทำงานอย่างขอไปที ไม่ตั้งใจและไม่ใส่ใจในการทำงาน
  4. ลองดี ยั่วยุ ท้าทาย หรือกลั่นแกล้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ที่ติดต่องานด้วย
  5. พูดในเชิงลบถึงผู้อื่นเสมอ ครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูดเป็นการพูดว่าร้ายเจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน
  6. คำนึงถึงความสัมพันธ์และความสนิทสนมส่วนตัวมากกว่าเรื่องการทำงานให้สำเร็จ
  7. ยอมให้อารมณ์และความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผล ทั้งในการตัดสินใจและการลงมือทำงาน
  8. ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเองในเรื่องงาน แต่มีคำอ้างหรือข้อแก้ตัว และจะไม่สนใจแก้ไขสิ่งผิดพลาด
  9. มองว่าคนอื่นได้ค่าตอบแทนสูงกว่าตน แต่ไม่ลองคิดดูว่าคนอื่นมีความสามารถเหนือกว่าตนเองอย่างไรบ้าง
  10. สนับสนุนลูกน้อง หรือผู้อ่อนอาวุโสกว่าในทางที่เป็นผลเสียต่อองค์กร

รู้แล้วพึงหลีกเลี่ยง และอย่าไปทำมันเป็นอันขาดเพราะทั้ง 10 ข้อดังกล่าว คือหนทางสู่ความหายนะและความถดถอย

ทีมา Productivity corner

Work Like a PRO

Work Like a PRO


เมื่อเราได้ยินคำว่ามืออาชีพ หลายคนคงนึกถึงคำภาษาอังกฤษที่ว่า Professional หรือ Professionalism บางคนก็นึกถึงคนที่เรียนจบ หรือประกอบอาชีพที่ต้องมีใบประกอบอาชีพเป็นใบรับรองความรู้ความสามารถอะไรทำนองนั้น อาทิ แพทย์ พยาบาล วิศวกร ทนายความ เป็นต้น ซึ่งอาชีพทั้งหลายเหล่านี้ต้องการความเป็นมืออาชีพทั้งสิ้น และความเป็นมืออาชีพนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งและมากเกินกว่าใบประกอบวิชาชีพที่ได้มา ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ได้เห็นข่าวหมอ วิศวกร หรือทนายความที่กระทำผิด และสร้างความเสียหายจากการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่มิชอบ ดังนั้นความเป็นมืออาชีพหรือทำงานอย่างมืออาชีพที่หลายๆคนมักกล่าวอ้างกันนั้นมันหมายถึงอะไร และผู้ที่ทำงานในอาชีพอื่นๆ ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพจะเป็นมืออาชีพได้หรือไม่ เราลองมาพิจารณาคุณสมบัติของคนที่ทำงานแบบมืออาชีพเหล่านี้กัน

  • ไม่ล้ำเส้น ยึดถือบทบาทหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายหรือแย่งชิงงานละความชอบ
  • คิดเองได้ ไม่เพียงแต่ทำตามคำสั่ง แต่ควรคิดและทำเพิ่มเติมกว่านั้น
  • มีความรับผิดชอบ ไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น แม้ว่างานนั้นจะมอบหมายต่อให้คนอื่นทำ
  • รู้จักตัดสินใจ เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ ก็ต้องทำตามข้อมูลความจริงเท่าที่มีอยู่
  • ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยาม หรือทำตัวให้ผู้อื่นต้องเสียหน้า
  • รักษาเกียรติในยามแพ้ ล้มแล้วลุกใหม่ได้ ไม่มีใครที่แพ้ตลอดเวลา
  • ยอมรับการเปลี่ยนแปลง นับวันความเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้น หาทางรับมือดีกว่า
  • ความผิดพลาดและการขอโทษ เมื่อกระทำผิดไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการขอโทษ
  • มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือความคิดเดิมๆ ต้องปรับตามเงื่อนไข
  • ไม่น่ารักก็ไม่เป็นไร ถ้าสิ่งนั้นทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
  • มนุษยธรรมกับธุรกิจ ไม่เบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้อื่น
  • ศักยภาพสูงสุดของตนเอง ไม่ทำแต่เรื่องง่ายเพราะอยากสบาย
ลองสำรวจตรวจสอบดูว่าเราทำได้สักกี่ข้อ ถ้าเรายังทำได้น้อยแสดงว่าเรามีโอกาสได้ปรับปรุงมาก แต่ถ้าทำได้มากก็แสดงว่าเรามีการพัฒนาตนเองมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเราสามารถเพิ่มเติมข้ออื่นๆ ทีสำคัญและจำเป็นสำหรับอาชีพการงานของเราได้ตามความเหมาะสม

ที่มา: Productivity Corner


วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปริญญาสองใบ

ขอบคุณ กิ๊บ ที่ ส่ง e-mail มาให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มค่ะ

ปริญญาสองใบ ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมากคือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก

เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร มาเรียนที่อเมริกา

เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิสทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด

แม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดูว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด

เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน

แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สอง

แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สามใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย

แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจมีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง

วันหนึ่งแกพักผ่อนหลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลยลูกเมียไปขอพบ

บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต

วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุบลงไป

ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็งพอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย

จริงๆ เค้าก็เตือนตลอดแต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน

บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว

แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่

กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า

พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง 'ปริญญาวิชาชีพ'

เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น

พูดง่าย ๆล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง

แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

แต่'ปริญญาวิชาชีวิต' ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้

แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง

ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร?

เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง

บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยาแต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา

สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้

สิ่งที่ว่านี้คือ ผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย

เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ธรรมะเราจะต้องมี

ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง

ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้วอย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวัน

แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเองดูจิต ดูใจตัวเองว่าเราเอ๊ะมันทุกข์

มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่าแบกเรื่องโน้นเรื่องนี้

เกินไปหรือเปล่า พยายามลดลงในแต่ละวันๆเพื่อที่ว่าอะไร

เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิตหนึ่งปริญญาวิชาชีพ

เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งมีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่

แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สองคือวิชาธรรมะ

สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี

พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก

อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง

อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุดและมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี

เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด

บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง

บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต

สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อย.

(ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา ของท่าน ว.วชิรเมธี

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

S E R V I C E ใช้ใจให้บริการ

S= Smile ยิ้มแย้มแจ่มใสในทุกเหตุการณ์
E= Enthusiasm กระตือรือร้น พร้อมรับทุกคำสั่ง น้อมนำทุกคสามคิดเห็น
R=Rapidness กระฉับกระเฉง รวดเร็วฉับไว ไม่เยิ่นเย้อยืดยาด
V=Value มีคุณค่า ในทุกจุดของการสัมผัสนอกเหนือจากสินค้าที่ได้รับ
I=Impression สร้างความประทับใจที่ลึกล้ำ สร้างความจดจำในทุกเหตุการณ์ (ที่ดี)
C=Courtesy สุภาพอ่อนโยน ทั้งกาย วาจา ใจ ทุกท่วงท่าลีลาและทุกการแสดงออก
E=Endurance อดทน อดกลั้น จำไว้เสมอว่าลูกค้าไม่ใช่คนที่เราจะมาถกเถียงเพื่อให้ได้ชัยชนะ

ที่มา: Productivity Corner ปี่ที่ 9 ฉ. 101 สค 51 column Light UP โดย chamluck@ftpi.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เด็กข้างเตียง กับคำพ่อสอน (เทคนิคการสอนลูกของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์)

ขอบคุณ พี่ปราโมทย์ที่ forward มาให้ค่ะ
เทคนิคการสอนลูกของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือท่านประธานของลูกๆ ที่บอกว่าเมื่อไหร่สวมบทท่านประท่านก็จะดุ ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมตอบอยู่เสมอ ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องทำตัวลีบๆ แล้วไปหาคำตอบมารายงานใหม่
แต่ถ้าเป็นบทบาทคุณพ่อ จะเป็นคุณพ่อใจดีที่คอยสอน และให้คำแนะนำที่ดีเสมอ คุณบีเล่าว่าตอนเด็กๆคุณแม่เป็นคนสอนไม่ให้ดูถูกคน สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่างพี่เลี้ยงเราต้องยกมือไหว้หมดอาละวาดไม่ได้ ตีพี่เลี้ยงไม่ได้ต้องให้เกียรติคน คุณแม่บอกว่าคุณแม่มาจากฐานะยากจนเคยถูกคนอื่นดูถูก จะสอนเราเรื่องพวกนี้
ส่วนคุณพ่อสอนให้เรามองตัวเองตลอด เวลามีความผิดพลาดก่อนที่จะมองคนอื่นให้มองตัวเองก่อน ตั้งแต่ๆมีหลายเรื่องที่คุณพ่อสอนและติดเป็นนิสัย ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ตอนโต
ทุกคืนจะเป็นเด็กข้างเตียง ไปเกาะเตียงคุณพ่อเล่าโน่นเล่านี่ คุณพ่อจะสอนว่า ทุกวันตอนนั่งรถกลับจากโรงเรียนให้คิดว่าวันนี่พูดจาใจร้ายกับใครหรือเปล่า ทำตัวไม่ดีหรือเปล่า ไปทำตัวให้ใครเสียใจหรือเปล่า ก็มาเล่าให้คุณพ่อฟังว่าวันนี้เปิดกระโปรงเพื่อน หรือว่าเถียงคุณครู หรือไปช่วยคุณยายขายขนม ท่านเป็นคนที่ encourage ให้ทำเรื่องดีๆ ท่านก็จะชื่นชมเราไปทำเรื่องดีๆ พอเล่าเสร็จ ท่านจะเอาเรามากอด แล้วบอกว่า ฉลาดที่สุดเลย เก่งที่สุดเลย ทำให้เราที่ตัวเล็กๆ หัวใจคับตัว ทำให้เราคิดแต่จะทำความดี
หรือถ้าไปทำเรื่องไม่ดี ท่านก็จะสอนว่า พอรู้ว่าเป็นความไม่ดี ให้คิดต่อว่าแล้วพรุ่งนี้จะไปแก้ตัวว่าอย่างไร จะปรับปรุงอย่างไร อย่างเช่นเปิดกระโปรงเพื่อน วันพรุ่งนี้ไปขอโทษ เอาขนมไปให้
ตอนแรกๆ ก็เริ่มจากการ analyse ตัวเองทุกวันว่า เราทำอะไรไม่ดี แต่พอเราได้รับคำชมเรื่องดีๆเยอะๆความคิดก็เริ่มคิดที่จะทำความดีๆ ไปโรงเรียนก็พกดินสอไปเยอะๆ เผื่อใครลืมดินสอก็เอาไปให้เขา
นิสัยจากที่ถูกสอนให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองทุกวัน เวลาเราตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจเรื่องนี้ขาดทุนยับเยิน หรือบางทีใช้อารมณ์กับลูกน้อง กลุ้มใจ พอคิดถึงสิ่งที่เราถูกฝึกมา ก็จะเตือนตัวเองว่าอย่ากลุ้มใจนาน เอาคืนไม่ได้แล้ว คิดต่อว่าพรุ่งนี้จะไปแก้ปัญหาอย่างไร
การวิเคราะห์ตัวเองทุกวันให้อยู่กับความเป็นจริงเป็นนิสัยที่เป็นประโยชน์มากๆ
อีกเรื่องที่คุณพ่อสอนคือ สอนให้เห็นข้อดีของคน วันหนึ่งมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาหาคุณพ่อ ตอนเด็กเราจะรู้สึกว่า เพื่อนคนนี้ไม่ดีเราไม่คบ และผู้ใหญ่คนนี้มีพฤติกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบ แต่เราเดินผ่านคุณพ่อเห็นจะเรียกเรามาสวัสดี และจะชื่นชมเขาให้ฟังต่อหน้าเขา วันหนึ่งกล้ามากถามคุณพ่อว่าคนนี้ไม่เห็นดีเลย ทำไมคุณพ่อไปชมเขา แกล้งชมหรือเปล่า เหมือนไม่จริงใจหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นไปเรียนหนังสือที่อเมริกาแล้ว (ไปเรียนที่อเมริกาตอนอายุ 14 ปี)
ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าคนเราทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี ท่านถามว่าสมมติเพื่อนชอบนินทา ถามว่าบีจะคบไหม บีฟันธงว่าไม่คบ ท่านถามต่อว่าเพื่อนคนเดียวกันนี้เป็นคนใจอ่อน เห็นใครไม่สบาย ใครมีปัญหาไปช่วยเสมอ ถามว่าบีจะคบไหมก็เริ่มลังเล แต่ก็ยืนยันว่าไม่คบ ท่านก็สอนว่า ต้องคบคนในเรื่องที่เขาดี ต้องรู้จักชื่นชมในสิ่งที่เขาดี ในเมื่อเขามีน้ำใจช่วยเหลือทุกคนเราต้องเห็นความดีตรงนี้ของเขา ขณะที่เรื่องไม่ดีของเขา ชอบนินทา ก็ต้องรู้จักคบเขา เรื่องอะไรที่ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องให้เขาฟัง หากเราไปเล่าให้ฟัง ถ้าเขาไปเล่าต่อก็ต้องเขกหัวตัวเอง
ท่านก็ยกตัวอย่างอีกว่าสมมติมีผู้ชายคนหนึ่ง เป็นขโมย บีก็บอกว่าไม่ดีแน่นอน และผู้ชายคนเดียวกันนี้กตัญญูมากๆ มีแม่ไม่สบาย ดูแลแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำ เงินที่ได้มาก็รักษาแม่ ถามว่าเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า อันนี้เริ่มลังเล ท่านบอกว่าในมนุษย์ทุกคนมีทั้งข้อดีและไม่ดี เราต้องสามารถมองเห็นข้อดีของคน ข้อไม่ดีของคน
ท่านบอกว่าท่านชมคนท่านชมจากใจจริงหากเราไม่จริงใจกับคน ชมเขา 3 ครั้งเขาก็รู้ เพราะมนุษย์มี sense เพราะฉะนั้น เราต้องชมในเรื่องที่เป็นจริง ท่านสอนว่ามนุษย์รู้ว่าตัวเองเก่ง ไม่เก่ง หรือถนัด ไม่ถนัดเรื่องอะไร เขาจะ sense ได้ เพราะ ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าข้อดีของเขาคืออะไรต้องหาให้ได้ และหากจะชมเขา เราต้องชื่นชมเขาอย่างจริงใจ
ท่านสอนว่าเรื่องความไม่ดีของคนอย่าไปพูด ความดีเหมือนผ้าขาว ดูง่าย แต่ความไม่ดีเหมือนสีดำ และถ้าเราไม่รู้จริง และไปว่าคน เท่าเป็นการทำร้ายเขา คือความไม่ดี ไม่ต้องพูด ให้รู้เพื่อระวัง และสอนไม่ให้อคติ คือท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความมีดี อย่าไปกรธ อย่าไปอคติ แต่เราทำดีเป็นหลัก
ตอนไปเรียนที่อเมริกา ถูกฝรั่งแกล้ง เป็นเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เขาดูถูกเราตลอด เป็นนักเรียนคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถูกแกล้ง เอาหนังสือไปทิ้งบ้าง เดี๋ยวถูกขโมยกล่องดินสอบ้าง เดินชนบ้าง และผู้หญิงคนนี้ชอบทำหน้ารังเกียจเราบางทีก็มาด่าเราด้วย และเราไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มาก
แต่ด้วยที่ศรัทธาคุณพ่อมาก ตอนแรกๆไม่ได้เชื่อคำสอน 100% แต่คิดว่าถ้าทุกคนมีความดี ผู้หญิงคนนี้มีความดีอะไร ก็เริ่มทำตัวเหมือนนักสืบอยู่หลายเดิน สะกดรอย พยายามหาข้อดีของเขา สังเกตว่าเขาไปทำอะไร เขามีข้อไม่ดี เช่นจีบผู้ชายหลายคน ชอบโดดเรียน แต่เราบังคับตัวเองว่าต้องหาข้อดีให้เจอ คิดว่าจะต้องไปรายงานคุณพ่อ สิ่งสุดท้ายที่เห็น ผู้หญิงคนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนอื่น เป็นคนที่อ่อนแอมากๆ และผู้หญิงคนนี้รักเพื่อนมากๆ ต่อให้เรียนอยู่ก็โดดเรียน เดตกับผู้ชายอยู่ก็มาดูแลเพื่อนคนนี้ ทำให้เห็นข้อดีของเขา ถ้าหากเราโดดเรียนมาปลอบเพื่อน ถามตัวเองทำได้หรือเปล่าแต่สิ่งที่เขาทำให้เพื่อนเขา เราก็ชื่นชมเขา พอเริ่มเห็นข้อดีของเขาเราก็เริ่มๆ เปลี่ยนมุมมอง ไม่เกลียดเขา เราก็ไม่เป็นทุกข์
หลังจากนั้นฝึกตัวเอง เชื่อว่าทุกอย่างฝึกได้หมด พอไม่ชอบขี้หน้าใคร ก็ต้องหาข้อดีให้เจอ ทำมาจนอายุ 24 ปี ประมาณ 10ปีเต็ม ทำแบบไม่รู้ตัว จนมีวันหนึ่งเมื่อเรียนจบ นั่งคุยกับเพื่อน เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง มีเพื่อน 2 คนเขาบอกว่าไม่จริง บอกว่าทุกคนจะต้องมีข้อดี เขาเริ่มโยนชื่อเพื่อนสมัยเรียนขึ้นมา เราก็สามารถตอบข้อดีได้หมดวันนั้นทำให้คิดว่าเรื่องนี้มีอยู่ในเราแล้ว 10 ปีที่ฝึกอย่างจริงจัง มันเห็นผล มันเป็นการชำระใจ บีดูแลใจตัวเองมากๆเลย พยายามไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร พยายามไม่ให้ทุกข์ข้ามคืน ทบทวนทุกวันว่าทำอะไร
คุณพ่อสอนว่าเวลาคนมาว่าเรา มาด่าเรา จะไปโกรธเขาทำไม เพราะเวลาคนมาว่าเรา จะไปโกรธเขาทำไม
เพราะเวลาคนมาว่าเรา มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ
1. เขาคงเข้าใจผิดเขาจึงมาโกรธเรา ถ้าเข้าใจผิดเราก็หาทางไปชี้แจง จะไปโกรธตอบทำไม
2. เราต้องไปทำอะไรเขาจริงๆ ซึ่งเราอาจจะทำโดยไม่ตั้งใจ ท่านบอกว่าไปขอโทษเขาเสีย มานั่งโกรธเขาไม่ถูก

มีช่วงหนึ่งที่มีข่าวว่าท่านเยอะ ช่วงที่ทำโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย เคยถามท่านว่าทำไมถึงมีคนว่ามากขนาดนี้ ตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เพื่อนเอาหนังสือพิมพ์มาให้ดู เขียนด่าครอบครัว สาปแช่งว่าโกงกินประเทศชาติ ตอนนั้นเรียนจบ นัดกับเพื่อนว่าก่อนจะจบจะไปเที่ยวกัน ก็มีเพื่อนของเพื่อนอีกที ไม่รู้จักกัน เขาบอกว่าถ้าทริปนี้มีบีด้วยเขาไม่มาเขาไม่คบกับตระกูลนี้ที่โกงกินประเทศชาติ มันแย่มาก วันหนึ่งก็มาถามคุณพ่อว่าทำไมเขามาว่าเราขนาดนี้ คุณพ่อไม่พูดอะไรที่เป็นลบ ท่านบอกว่าเขาเข้าใจผิด เขาพยายามทำหน้าที่ของเขา คือรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ และหลังจากนั้นเวลาที่บีอยู่ในกลุ่ม ซี.พี. หากมีใครว่าอะไรก็จะบอกว่าคุณพ่อบอกว่าอย่างนี้ ไม่ต้องไปโกรธเขา ไม่ต้องไปว่าเขา คุณพ่อเป็น role model สิ่งที่อยากเหมือนคุณพ่อคืออยากทำงานได้เยอะ ช่วยเหลือคนได้เยอะ และมีความสุข คุณพ่อเป็นคนที่ไม่ทุกข์ งานหนักแค่ไหนไม่มีเรื่องเนกาทีฟไม่มีระบายอารมณ์ที่บ้าน ไม่เก็บความทุกข์มาใส่ใจ